ประเทศอังกฤษ
อังกฤษ หรือ ประเทศอังกฤษ สามารถเรียกได้ว่า อาณาจักรแห่งอังกฤษ (England) นั้นคนไทยหลาย ๆ คนเข้าใจผิด ว่า ประเทศอังกฤษ คือ อังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์ ไอร์แลนด์เหนือ ความจริงแล้ว ประเทศอังกฤษคือ รัฐ ๆ (สมัยโบราณเรียกว่า แคว้น) หนึ่งบนเกาะอังกฤษ ถ้ารวมทั้ง สก็อตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือเข้าไปด้วย เราเรียกว่า สหราชอาณาจักร ( United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland ชื่อย่อ คือ UK)
ประเทศอังกฤษ (England)เป็นส่วนหนึ่งของ สหราชอาณาจักร เท่านั้นแต่ด้วยความที่เป็น รัฐผู้นำเป็น รัฐที่มีอำนาจมากกว่ารัฐอื่นจึงถือว่าเป็น รัฐที่กำหนดแนวทาง ทางการเมืองการปกครองสหราชอาณาจักรทั้งหมด บนเกาะสหราชอาณาจักร (Great Britain Island)
ประเทศอังกฤษเป็นรัฐอธิปไตยบนเกาะของสหราชอาณาจักรจุดเริ่มต้นของประเทศอังกฤษ ในศตวรรษที่ 10 หลังจากที่โรมันปกครองอย่างยาวนาน ถึง 400 ปี ได้ถูกชาวแองโกลแซกซอนบุกรุกตั้งถินฐานจนกระทั้งรวมกันเป็นปึกแผ่นใน ศตวรรษที่ 10 เป็นผู้คุมอำนาจบนเกาะบริเตนใหญ่
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 11 อาณาจักรแองโกลแซกซอน ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิทะเลเหนือของ ประกอบด้วยอังกฤษ เดนมาร์กและนอร์เวย์ ในปี 1066 อังกฤษมาถึงจุดเปลี่ยนผ่านเป็น ประเทศอังกฤษ หลังจากชัยชนะของกองกำลังนอร์แมนได้มีการเริ่มต้นนำไปสู่การโยกย้ายถิ่นฐานถ่ายโอนเมืองหลวงของอังกฤษ จากหัวหน้าของแงโกลแซกซอนที่พระราชวัง Winchester มายังพระราชวัง Westminster และนับจากนั้น เมืองลอนดอนได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นศูนย์กลางการค้าที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะและเป็นส่วนสำคัญของประเทศอังกฤษนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ประวัติศาสตร์ของอังกฤษ เริ่มต้น อาณาจักรแห่งอังกฤษจากการชัยชนะของกองทับนอร์แมนในปี ค.ศ. 1066 ได้ตั้งราชวงศ์ขึ้นปกครองปกครองประเทศอังกฤษอย่างต่อเนื่องดังนี้: ราชวงศ์นอร์แมน 1066-1154, ราชวงศ์แพลน 1154-1485, ราชวงศ์ทิวดอร์ 1485-1603 และ ราชวงศ์สจวร์ต1603-1714 (ไม่มีราชวงศ์ปกครองในช่วง 1649-1660) การเริ่มใช้ตราสัญลักษณ์ของราชวงค์อังกฤษอย่างเป็นทางการ ในปี 1066 ประมหากษัตร์อังกฤษต้องได้รับการสืบทอดเชื้อสายมาจากราชวงศ์นอร์แมน เริ่มต้นด้วย กษัตริย์เฮนรี ii (1154-1189) นับตั้งแต่นั้นมา กษัตริย์แห่งประเทศอังกฤษจึงมีความเป็นเชื้อสายสกุลของอังกฤษอย่างแท้จริง
ในปี 1284 กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่1 ประสบความสำเร็จในการพิชิต เวลส์ โดยเวลส์ถูกปกครองภายใต้งพระมหากษัตริย์อังกฤษ ต่อมาในสมัยกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่3 ( 1327-1377) ประเทศอังกฤษเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอำนาจทางทหารที่น่ากลัวที่สุดในยุโรปในยุคนั้น รัชสมัยของพระองค์ทรงเห็นการพัฒนาที่สำคัญในการออกกฎหมายและการปกครองโดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิวัฒนาการของรัฐสภาประเทศอังกฤษ ต่อมาในยุค 1340 พระมหากษัตริย์ของอังกฤษยังอ้างว่าเป็นผู้นำมีอำนาจเหนือพระมหากษัตริย์ของฝรั่งเศสนำมาซึ่งการทำสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศษ ในปี 1455 ของสงครามดอกกุหลาบประเทศอังกฤษ มีอันที่ประเทศอังกฤษต้องศูนย์เสียการปกครองบนดินแดนฝรั่งเศสทั้งหมด ยกเว้น รัฐ Calais หลังจากความสับสนของสงครามดอกกุหลาบ ราชวงศ์ทิวดอร์ได้ขึ้นปกครองประเทศอังกฤษขยายอาณาเขตอีกครั้ง อำนาจของกษัตริย์ประเทศอังกฤษมีเพิ่มมากขึ้นจนสามารถบรรลุขอตกลงในการปกครองเต็มรูปแบบของประเทศอังกฤษและ รัฐเวลส์ ในปี 1542 พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ขึ้นปกครองอังกฤษได้ทำการปฏิรูปประเทศและกฏหมาย ทำให้ลูกสาวของเขา ราชินีอลิซาเบธ ที่ 1 ได้ขึ้นปกครองอังกฤษในเวลาต่อมา (ปกครองใน ปี ค.ศ. 1558-1603) พระราชินีอลิซาเบธ ได้วางรากฐานทางศาสนาในขณะเดียวกันได้จัดการจัดประเทศอังกฤษเป็นประเทศมหาอำนาจที่ทรงพลังอันยิ่งใหญ่ และการวางรากฐานของจักรวรรดิอังกฤษไปยังดินแดนแห่งโลกใหม่
ในปี 1630 กษัตริย์ เจมส์ที่ 1 จากราชวงศ์ สจ็วต ปกครองประเทศอังกฤษ และร่วมมือกับสกอตแลนด์และไอร์แลนด์ ภายใต้การปกครองของ ราชวงสจ็วต อาณาจักรกระโจนเข้าสู่สงครามกลางเมืองในเวลาต่อมาในรัชการของกษัตริย์ชาร์ลส์ในปี 1649 เกิดการต่อสู้กันระหว่างระบบการเมืองภายใต้ระบบรัฐสภา กับเหล่าบุคคลภายใต้ระบอบกษัตริย์สงครามกลางเมืองได้สร้างแบบอย่างที่พระมหากษัตริย์ประเทศอังกฤษไม่สามารถมีอำนาจเบ็จเสร็จ หลาย ๆ สิ่งจะต้องได้รับความยินยอมของรัฐสภาและทั้งสองระบบต้องปกครองร่วมกัน แนวคิดนี้กลายเป็นที่ยอมรับถูกต้องตามกฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ของ 1688 ได้เปลี่ยนชื่อจากราชอาณาจักรอังกฤษ (The Kingdom of England) เป็น สหราชอาณาจักร ( United Kingdom) ที่มีผลบังคับใช้เป็นระบอบรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1707 ภายใต้เงื่อนไขของการกระทำของพันธมิตรในปี 1707 ระหว่างราชอาณาจักรอังกฤษและสกอตแลนด์ได้ก่อกำเนิดเป็น ประเทศสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ (the Kingdom of Great Britain )นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
การบริหารประเทศอังกฤษ
- การแบ่งแยกอำานาจฝ่ายบริหารระหว่างพระมหากษัตริย์ที่ไม่ต้อง รับผิดชอบกับคณะรัฐมนตรี (ฝ่ายบริหาร) ที่มีอำนาจแท้จริง ซึ่งใน ปัจจุบันจึงเป็นที่เข้าใจกันว่าองค์พระมหากษัตริย์เป็นผู้ครองราชย์แต่ มิได้ปกครองประเทศอย่างใด
- การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี การเลือกสรรนายกรัฐมนตรีเป็นอภิสิทธิแบบจารีตนิยมของกษัตริย์ และสืบ เนื่องจากระบบสองพรรคแบบอังกฤษ ได้ดึงอำนาจมาจากกษัตริย์ ซึ่ง ภายหลังการเลือกตั้ง กษัตริย์ จะต้องทรงเลือกหัวหน้าพรรคการเมืองที่ ได้รับชัยชนะ ยกเว้นในกรณีพิเศษ
- ในทางทฤษฎี องค์พระมหากษัตริย์ทรงคงไว้ซึ่งหน้าที่ในทางบริหาร แต่ประเพณีนิยมนับตั้งแต่พระเจ้าวิลเลี่ยมที่สี่ กำหนดให้พระองค์ จำต้องรับฟังความคิดเห็นของคณะรัฐมนตรี กฎหมายทุกฉบับที่ออกมาบังคับใช้ต้องได้รับการลงพระปรมาภิไธย ก่อน ในปัจจุบันพระมหากษัตริย์ทรงยุบสภาตามคำแนะนำของ นายกรัฐมนตรี การยุบสภาต้องประกาศเป็นพระบรมราชโองการที่คณะ องคมนตรีให้ความเห็นชอบด้วย เพื่อป้องกันการยุบสภาของ พระมหากษัตริย์ด้วยพระองค์เอง อำนาจการถวายคำแนะนำให้ยุบ สภาทำให้ฐานะของนายกรัฐมนตรีมั่นคง ในทางปฏิบัติ แม้ว่าพระองค์ ไม่ทรงเห็นด้วย แต่ก็เป็นการยากที่พระองค์จะทรงปฏิเสธได้
- ถึงแม้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จะมิได้มีอำนาจทางการเมืองในระบบ การเมืองการปกครองของอังกฤษในปัจจุบัน แต่สถาบันยังคงเป็น สถาบันทางการเมืองที่มั่นคงและสืบเนื่องมาจากอิทธิพลของสถาบันที่มี ต่อสังคมอังกฤษ
- พระมหากษัตริย์หรือพระราชินีทรงเป็นประมุขของนิกายโบสถ์อังกฤษ และเปรียบเสมือนเส้นโยงที่สร้างความเป็นเอกภาพ ระหว่างสมาชิกใน สังคม สถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงเปรียบเสมือนที่รวมของเกียรติศักดิ์ ของสังคมอังกฤษ
- คณะรัฐมนตรี(Cabinet ) คือองค์กรรวมของคณะซึ่งรับผิดชอบต่อ สภาสามัญ คณะรัฐมนตรีเกิดขึ้นคู่กับสถาบันพระมหากษัตริย์ คณะรัฐมนตรีคือผลของการที่พรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งต้องปฏิบัติ ตามแผนงานของพรรคที่วางไว้ cabinet ในปัจจุบันคือทายาทของระบบองคมนตรีซึ่งท าหน้าที่เป็นผู้ ช่วยเหลือพระมหากษัตริย์ในการบังคับใช้อภิสิทธิทางการบริหารของ องค์พระมหากษัตริย์
- โครงสร้างโดยทั่วไปประกอบด้วย สองส่วน
- กลุ่มคณะรัฐมนตรีประจ ากระทรวงต่างๆ รวมทั้งรัฐมนตรีลอย ซึ่งมี จำนวนไม่เกิน 20 คน
- รัฐมนตรีด้อยอาวุโส จำนวน 40-50 คน ซึ่งมีหน้าที่ช่วยรัฐมนตรีใน กระทรวงและในสภา นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ที่มีตำแหน่งเด่นที่สุด ในฐานะหัวหน้าพรรคเสียงข้าง มากในสภาย่อมมีอำนาจมากและมีหลักประกันว่ากฎหมายที่เสนอจะ ผ่านสภา เป็นเพราะหัวหน้าพรรคที่มีเสียงข้างมากในสภาสามัญ
เศรษฐกิจ ประเทศอังกฤษ
อังกฤษ หรือ ประเทศอังกฤษเป็นประเทศอุตสาหกรรมหลัก เป็นประเทศผู้ผลิตสิ่งทอ ผลิตภัณฑ์เคมี อุตสาหกรรมรถยนต์ การผลิตตู้รถไฟและ การผลิตเครื่องบิน เป็นอุตสาหกรรมหลักที่สำคัญของอังกฤษ รายได้ของประเทศมาจากกรุงลอนดอนเป็นหลัก ตั้งแต่ปี 1990 จนถึงปัจจุบัน ภาคบริการทางการเงินมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจของอังกฤษ และลอนดอนเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ธนาคาร บริษัทประกันภัย สินค้าโภคภัณฑ์ การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ เงินอังกฤษปอนด์สเตอร์ลิงเป็นสกุลเงินอย่างเป็นทางการของอังกฤษและธนาคารกลางของสหราชอาณาจักร ที่ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน
- การเกษตรและการประมง อังกฤษ เกษตรกรรม เป็นหนึ่งในระบบเศรษฐกิจที่สำคัญของอังกฤษ ที่ผลิดป้อนสู่ตลาดยุโรป พืชหลักที่มีการปลูกเป็นข้าวสาลี , ข้าวบาร์เลย์ , ข้าวโอ๊ต , มันฝรั่ง , น้ำตาล หัวบีต
- การเงิน อังกฤษ เมืองหลวงของอังกฤษคือลอนดอน เมืองลอนดอนเป็นศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำของโลก เมืองนี้เป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์ FTSE ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่สำคัญลำดับต้น ๆ ของโลก อุตสาหกรรมการบริการภาคการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคาร ประกันภัย และบริการธุรกิจบัญชีโดยไกลสำหรับสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของ GDP และมีอัตรการจ้างงานประมาณ 80% ของประชากรที่ทำงานในภาคธนาคาร
- การผลิตของ อังกฤษ คงคงความสำคัญ ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 และ 70s จนถึงปัจจุบัน การผลิตเป็นสำคัญส่วนหนึ่งของผลผลิตทางเศรษฐกิจของอังกฤษ อุตสาหกรรมที่สำคัญ คือ อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ , การป้องกัน การผลิตยาและสารเคมี
- การท่องเที่ยว อังกฤษ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศ อังกฤษ ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ทำเงินมหาศาลให้แด่ประเทศอังกฤษ ทำรายได้เข้าประเทศถึง 96 พันล้านปอนด์ต่อปี ศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวคือลอนดอนซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวนับล้านคนจากต่างประเทศในทุกปี